ก๊อปปี้แบงก์พันฝ่า'หาร๕๐๐'

กว่าจะเป็นสภา ๕๐๐ ไม่ง่ายทีเดียว

ก่อนนี้เรามักได้ยินคำว่า "เลือกตั้งแบบยุทธศาสตร์"

เข้าใจง่ายครับ หมายถึงอย่าเลือกแบบสะเปะสะปะ ให้เลือกพรรคหลัก เพื่อไม่ให้คะแนนเสียงแตก อย่างเช่นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่เพิ่งผ่านมา

แต่วันนี้การเลือกตั้งต้องเอาคณิตศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย

ต้องมีความรู้คณิตศาสตร์พอสมควรครับ จึงจะทำให้เข้าใจระบบการเลือกตั้งใหม่ได้ง่ายขึ้น

เมื่อคืนวันที่ ๗ กรกฎาคม ที่ประชุมรัฐสภาโหวตสูตรเลือกตั้งวาระที่ ๒ ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง

ผลคือ สูตรหาร ๑๐๐ เสียงส่วนใหญ่ ๓๙๒ คะแนน ไม่เอา มีเพียง ๑๖๐ เสียงเท่านั้นที่ต้องการ งดออกเสียง ๒๓ และไม่ลงคะแนน ๒

ส่วนสูตร ๕๐๐ ส่วนใหญ่ ๓๕๔ คะแนน ไฟเขียว ไม่เห็นด้วยมีเพียง ๑๖๒ เสียง งดออกเสียง ๓๗ ไม่ลงคะแนน ๔ เสียง

ก็เป็นอันว่าวาระที่ ๒ เอาสูตรหาร ๕๐๐

วาระที่ ๓ จะเป็นการโหวตทั้งฉบับก็ไม่น่าจะมีอะไรพลิกแล้ว การเลือกตั้งครั้งถัดไปจะเป็นการเลือกแบบ บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ หาร ๕๐๐ แน่นอน

จะมี ส.ส.เขต ๔๐๐ คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ๑๐๐ คน รวมเป็นสภา ๕๐๐

มาทบทวนกันอีกทีครับ หาร ๕๐๐ คืออะไร

มีอยู่ด้วยกัน ๓ ขยักด้วยกัน

๑.นำคะแนนทั้งหมดที่ประชาชนกาให้ทุกพรรคการเมืองมากองรวมกัน แล้วหารด้วย ๕๐๐ ซึ่งก็คือจำนวนของ ส.ส.ทั้งสภา

สิ่งที่ได้มาคือค่าเฉลี่ยนต่อ ส.ส. ๑ คน

๒.คราวนี้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับ หารด้วยคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. ๑ คน

สิ่งที่ได้คือ จำนวน ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรค

๓.ให้นำจำนวน ส.ส.พึงมี ตามข้อ ๒ ไปลบกับจำนวน ส.ส.เขต ที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเลือกตั้งมา

สิ่งที่ได้คือ จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

สูตรนี้เคยสร้างความไม่พอใจให้กับพรรคเพื่อไทยมาแล้ว และเป็นที่มาว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงไม่ชอบสูตรหาร ๕๐๐ แต่อยากได้สูตรหาร ๑๐๐ ที่เคยทำให้พรรคเพื่อไทยสมัยยิ่งลักษณ์ ชนะขาดมาก่อน

เลือกตั้งเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เขต ๑๓๖ คน แต่กลับไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลยแม้คนเดียว เพราะเมื่อคำนวณ ส.ส.พึงมีแล้วได้มา ๑๑๑ ที่นั่ง

ถือว่าเต็มโควตา

ต่างจากพรรคพลังประชารัฐกับอนาคตใหม่ที่ได้ประโยชน์ระบบการเลือกตั้งที่คำนวณหา "ส.ส.พึงมี"

ผลการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.เขต ๙๗ คน แต่ ส.ส.พึงมี ๑๑๕ คน ก็เติมให้ครบจำนวน

๑๘ ที่นั่งที่ได้มาคือจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั่นเอง

แต่พรรคที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือพรรคอนาคตใหม่ ได้ ส.ส.เขตมาเพียง ๓๑ ที่นั่ง แต่เมื่อคำนวณ ส.ส.พึงมีแล้ว พรรคอนาคตใหม่ต้องมี ส.ส. ๘๑ คน ฉะนั้นต้องเติม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เข้าไป ๕๐ คน เพื่อให้เต็มจำนวน

หรืออย่างพรรคเสรีรวมไทย ไม่ได้ ส.ส.เขตเลยแม้คนเดียว แต่จำนวน ส.ส.พึงมีได้ไป ๑๐ ที่นั่ง พรรคนี้จึงมีเพียง ส.ส.ปาร์ตี้สิลต์ล้วนๆ ๑๐ คน

เดิมทีก็คิดกันว่า พรรคใหญ่ที่มีคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตเยอะๆ ไม่ปลื้มหาร ๕๐๐ เพราะจำนวน ส.ส.เขตไปชนเพดาน จนทำให้ไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เลย อย่างเช่นที่พรรคเพื่อไทยน้ำตาตกไปเมื่อคราวที่แล้ว

ถึงเวลาคงต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่แล้วครับ!

เพราะเกมเปลี่ยน

ต้องยอมรับครับว่าพรรคเพื่อไทยทำการบ้านมาดี และอาจเปลี่ยนโฉมการเลือกตั้งแบบที่หลายคนคาดไม่ถึง

"ชลน่าน ศรีแก้ว" นำทีมเพื่อไทยแถลงข่าวทันทีหลังได้สูตรหาร ๕๐๐

"...เราไม่แตกแบงก์พัน หากระบบเช่นนี้ผ่านจริง และใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคเพื่อไทยไม่ได้กลัว เพราะมีหลายวิธีการ ซึ่งอาจจะมีอีกกลไกคือ มีพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งที่มุ่งรณรงค์เฉพาะบัญชีรายชื่อ แบบไม่สนใจเขต

เช่น การตั้งพรรคครอบครัวเพื่อไทย ส่งบุคคลที่เราต้องการใส่ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้เต็ม แล้ววางกลไกการรณรงค์หาเสียงให้เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างเดียว และให้มาเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยจะรณรงค์ให้เลือกเฉพาะ ส.ส.เขต เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

กลไกนี้อาจจะได้ผลที่เขาคิดไม่ถึงเกี่ยวกับการหาร ๕๐๐

สิ่งที่เราคิดไว้ขึ้นอยู่กับการตอบรับของประชาชน ถ้าประชาชนบอกว่าดี ก็อาจจะเป็นไปได้ โดยเราจะนำผลโพลที่พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่งมาร่วมประเมินการตัดสินใจด้วย

แต่การประเมินเชิงลึกต้องประเมินเชิงพื้นที่ระดับเขต ว่าหากจะเอา ๑๕ ล้านเสียง แต่ละเขตจะต้องได้ไม่ต่ำว่า ๓๕,๐๐๐ เสียง ถ้าทำได้ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยภายในพรรคยังไม่ได้คุยถึงกลไกนี้อย่างเป็นทางการ ผมเล่าให้ฟังแบบเปิดไต๋เผื่อเขาจะกลับตัวทัน

ส่วนบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องโอนมาอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นพวกแถวสอง..."

ไม่ทราบว่าพรรคการเมืองอื่นตามทันหรือไม่ แต่แนวคิดนี้อาจได้มาจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ที่พรรคเสรีรวมไทยไม่มี ส.ส.เขตเลย แต่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ๑๐ คน

หากใช้แนวคิดนี้ พรรคเพื่อไทย ไม่ได้แตกแบงก์พันครับ แต่ก๊อปปี้แบงก์พันขึ้นมาอีกใบ

นี่้คือการแก้ลำ "ส.ส.พึงมี"

การแตกพรรคทักษิณออกเป็น ๒ พรรคคือ เพื่อไทย กับครอบครัวเพื่อไทย เป็นกลยุทธ์ที่น่าจะคิดกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็มีความเสี่ยงหากประชาชนที่สนับสนุนพรรคระบอบทักษิณตามไม่ทัน

แต่หากราบรื่น โอกาสจะเกิดแลนด์สไลด์มีความเป็นไปได้สูง และไม่ใช่แลนด์สไลด์ธรรมดา อาจได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของสภาเลยทีเดียว

พรรคเพื่อไทยส่งเฉพาะ ส.ส.เขตเป็นหลัก ส่งปาร์ตี้ลิสต์แถวสองมา

ขณะที่พรรคครอบครัวเพื่อไทย ส่ง ส.ส.เขตบ้างเล็กน้อย แต่โอนปาร์ตี้ลิสต์แถวหนึ่งมาไว้พรรคการเมืองนี้

ที่สำคัญคือทั้ง ๒ พรรคต้องมี "อุ๊งอิ๊ง" เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นี่คือการใช้ประโยชน์จากบัตร ๒ ใบอย่างเต็มพิกัด  

ใบที่เลือก ส.ส.เขต พรรคเพื่อไทยคงจะมั่นใจว่า ไม่น้อยกว่า ๑๓๖ คนอย่างแน่นอน และเช่นเคยเพราะ หาร ๕๐๐ จะทำให้พรรคเพื่อจะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เนื่องจาก ส.ส.เขตเต็มเพดานจำนวน ส.ส.พึงได้

แต่บัตรเลือกตั้งใบที่สองที่เลือกพรรคนั้น พรรคทักษิณจะได้คะแนนโหวตจากพรรคครอบครัวเพื่อไทยเป็นกอบเป็นกำเช่นกัน

คิดง่ายๆ ครับ หากพรรคครอบครัวเพื่อไทยได้ ส.ส.เขตมาต่ำสิบ เพราะส่ง ส.ส.เขตน้อย แค่เป็นหัวเชื้อ เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับเพื่อไทย แต่ ส.ส.บัญชีรายชื่อส่งชื่อมาเต็ม ทั้ง ๑๐๐ คนล้วนเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน อะไรจะเกิดขึ้น

"ชลน่าน ศรีแก้ว" กะว่าได้สัก ๑๕ ล้านเสียง 

เมื่อนำไปคำนวณเป็น "ส.ส.พึงมี" พรรคครอบครัวเพื่อไทยจะเหมือนกับพรรคอนาคตใหม่เมื่อการเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ที่ในพรรคเต็มไปด้วย ส.ส.ปาร์ตี้สิลต์

ไม่ต่ำกว่า ๕๐ คนแน่นอน

ฉะนั้นเป้าหมายได้ ส.ส.เกินครึ่งสภา ในทางทฤษฎีมีโอกาสเป็นไปได้ครับ หากพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เขตเกิน ๒๐๐ คน และพรรคครอบครัวเพื่อไทยได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เกิน ๕๐ คน

ครับ..นี่คือสูตรคณิตศาสตร์การเมือง

แต่การเมืองที่แท้จริงยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมาย และหากพรรคการเมืองอื่นทำตาม โอกาสแลนด์สไลด์ของพรรคระบอบทักษิณก็จะลดลงอีก

สุดท้ายก็อยู่ที่ประชาชนว่า จะกาบัตร ส.ส.เขตให้ใคร และกาบัตรเลือกพรรคให้พรรคการเมืองไหน         

ประชาธิปไตยอยู่ในกำมือคุณครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักโทษ'ตรวจการบ้าน

ยกประเทศให้ไปเลยดีมั้ยครับ นานๆ ประชดที เพราะทนเห็นบางคนยังใช้สันดานเดิม เป็นสันดานที่ทำให้ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศนานถึง ๑๗ ปีไม่ได้

เลือกคุกจะได้คุก

ว่อนสิครับ! หนังสือจาก "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ตายหมู่ไปกับ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ในที่สุดก็ชัดเจน ถือเป็นความรับผิดร่วมกันของคณะรัฐมนตรี โดยมิอาจมีใครปฏิเสธในภายหลังได้เลยว่า ไม่มีส่วนรับรู้กับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้ประชาชนหัวละ ๑ หมื่นบาท ด้วยงบประมาณกว่า ๕ แสนล้านบาท

มันมากับความเงียบ

งานเลี้ยงใกล้เลิกรา... สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันจะหมดวาระลงเดือนพฤษภาคมนี้แล้วครับ

แผนแทรกแซงกองทัพ

ก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาชัดๆ เป็นอย่างไร หมายถึงกฎหมายต้านการปฏิวัติรัฐประหารครับ

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

นักการเมืองคนไหนที่บอกว่า "รวยพอแล้ว" อย่าไปเชื่อ เพราะถ้าพอจะไม่แสวงอำนาจการเมือง