‘เงินบาท’วันนี้เปิด ‘แข็งค่า’ที่31.19บาทต่อดอลลาร์

‘เงินบาท’วันนี้เปิด ‘แข็งค่า’ที่31.19บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทเคลื่อนไหวกรอบแคบ รับแรงหนุนแข็งค่าจากดอลลาร์อ่อนและโฟลว์ขายทองทำกำไร แต่ยังมีแรงกดดันจากปัญหาโควิด-19 นักลงทุนยังขายสินทรัพย์ในไทย ในวันนี้คาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.15-31.25บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.19 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 31.24 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.15-31.25 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท  โดยรวมค่าเงินบาทยังคงแกว่งตัวในกรอบ เพราะแม้ว่า เงินบาทจะได้รับแรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึง โฟลว์ขายทำกำไรทองคำ (ขายกำไรบนสกุลเงินดอลลาร์ และแลกกลับมาเป็นเงินบาท) แต่ค่าเงินบาทก็ยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ที่อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นฝั่งขายสุทธิสินทรัพย์ไทย

แม้ว่าวานนี้จะเป็นวันหยุดในฝั่งสหรัฐฯ ทว่า โดยรวมตลาดการเงินก็กลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการที่ผู้เล่นในตลาดการเงินกลับมาขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เพื่อรอดูสัญญาณการฟื้นตัวของการจ้างงานในฝั่งสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อได้ โดยแรงเทขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงดังกล่าวจะเห็นได้ชัดในฝั่งยุโรป ที่นักลงทุนทยอยขายทำกำไรหุ้นยุโรป กดดันให้ ดัชนี STOXX50 ปิดลบราว 0.76% ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลดลงจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) อาทิ Bayer -1.42%, Airbus -1.24% รวมถึง หุ้นในกลุ่มธนาคารและการเงินที่ทยอยปรับตัวลดลง (BNP Paribas -1.12%, Allianz -1.08%, Safran -1.08%)

นอกจากนี้ ภาพตลาดที่เริ่มกลับมาระมัดระวังตัวมากขึ้น ยังสะท้อนผ่านตลาดฟิวเจอร์ โดย ฟิวเจอร์ดัชนีตลาดหุ้นในฝั่งสหรัฐฯ อาทิ ฟิวเจอร์ดัชนี Downjones, S&P500 และ Nasdaq ก็ล้วนปรับตัวลดลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมจะไม่สดใสนัก ทว่าในฝั่งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ต่างก็ปรับตัวขึ้นไม่น้อยกว่า 1% หลังจากที่กลุ่ม OPEC+ เปิดเผยในรายงานว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นกว่า 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 96.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และยังมองว่า ตลาดน้ำมันโลกอาจเผชิญภาวะตึงตัว เนื่องจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของความต้องการใช้น้ำมัน ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันในอัตราเฉลี่ย1.4 ล้านบาร์เรลต่อปี

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะจับตาการประชุมรายเดือนของสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในวันนี้ เพื่อติดตามแผนการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ที่คาดว่าจะมีการทยอยเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึง แนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตและส่งออกน้ำมันของอิหร่าน

ในส่วนตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 89.79 จุด กดดันโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 1.2229 ดอลลาร์ต่อยูโร และ เงินปอนด์ (GBP) ที่แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.4224 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ตามแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนและอังกฤษ 

สำหรับวันนี้ ผู้ในเล่นตลาดส่วนใหญ่จะยังคงติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดย ตลาดมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่าน การขยายตัวของทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดยในเดือนพฤษภาคม ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและการบริการ (ISM Manufacturing PMI) จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ60.9 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)

ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% เพื่อประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ และอาจจะเริ่มส่งสัญญาณทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังจากที่ออสเตรเลียสามารถคุมสถาณการณ์การระบาดของโควิด-19 และแจกจ่ายวัคซีนได้ดี