ใช้ชีวิตปกติก่อนประกาศโรคประจำถิ่น

ใช้ชีวิตปกติก่อนประกาศโรคประจำถิ่น

ใกล้สงกรานต์แล้วแต่เรื่องโรคโควิด-19 ยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล การควบคุมการแพร่ระบาดและการระดมฉีดวัคซีนยังต้องดำเนินอย่างเข้มข้น หากทำได้ดีก็อาจก้าวไปสู่การไม่ต้องใส่หน้ากากเหมือนบางประเทศ ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจทุกภาคส่วนกลับมาดำเนินการได้อย่างไหลลื่นได้

เดือนเมษาฯ หน้าร้อนใกล้เข้ามาทุกขณะ แม้กระแสความร้อนทวีความรุนแรงแต่นั่นหมายถึงสัญญาณของการต้องออกไปพักผ่อนรับลมทะเลหรือกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือน เมษาฯ กับการท่องเที่ยวจึงเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร น่าเสียดายที่ปีนี้ยังมีโจทย์เรื่องโควิด-19 ให้เราต้องรับมือ ผ่านมาสองปีแล้วแม้มนุษย์ยังตีโจทย์ไวรัสโควิด-19 ไม่แตกทั้งหมดแต่ก็นับว่าเข้าใจมากขึ้นและกำลังเข้าใกล้ความเป็น “โรคประจำถิ่น” เข้าไปทุกที ยิ่งวันก่อนมีข่าวให้ตื่นเต้นเมื่อ จ.สุรินทร์  ประกาศพร้อมเปลี่ยนโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่นเป็นจังหวัดแรกของประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ พร้อมเชิญชวนชาวสุรินทร์ทุกคนไปฉีดเข็มที่ 3 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

หันไปดูหน่วยเหนือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกลาโหมเน้นย้ำแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะสถานการณ์ช่วงก่อน-ระหว่าง-หลังเทศกาลสงกรานต์ กำชับทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามมาตรการ VUCA อย่างเข้มงวด ได้แก่ V-วัคซีน เข้ารับการฉีดวัคซีนและวัคซีนเข็มกระตุ้น U-ป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา C- COVID Safe Living ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยหลีกเลี่ยงจัดกิจกรรมเสี่ยง และA-ตรวจATK กรณีที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงมาตรการรองรับเทศกาลสงกรานต์เน้นย้ำมาตรการส่วนบุคคล โดยประชาชนที่จะเดินทางช่วงสงกรานต์ ให้ Self-Clean up ตัวเองให้ห่างจากความเสี่ยง แนะนำให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. เพื่อที่การเดินทางกลับบ้านจะได้ไม่นำเชื้อกลับไปด้วย และเพื่อลดความเสี่ยงก่อนเดินทางพบผู้สูงอายุ รวมถึงรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ทั้งเข็ม 3 และเข็ม 4

หันไปมองประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ เจ้าตำนานใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 (จริงๆ รัฐมนตรีสาธารณสุขอังกฤษพูดก่อนแต่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์พูดแล้วดังกว่าอาจเป็นเพราะอยู่ใกล้บ้านเรา) วันนี้ (29 มี.ค.) สิงคโปร์ยกเลิกการบังคับสวมหน้ากากเมื่ออยู่นอกอาคารแล้ว สอบถามประชาชน 24% บอกว่าจะไม่ใส่หน้ากากเมื่ออยู่นอกอาคารอีกแล้ว 76% บอกว่ายังใส่ต่อไป เพราะใส่ๆ ถอดๆ รู้สึกไม่ค่อยสะดวกเผลอๆ ยังเสี่ยงรับเชื้อโรคมากขึ้นด้วยซ้ำ 

ไปที่นิวซีแลนด์ นายแพทย์แอชลีย์ บลูมฟิลด์ อธิบดีจากกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า ตอนนี้โควิดยังไม่มีทีท่าจะเป็นโรคประจำถิ่น (endemic) ยังเป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemic) เข้าใจว่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลกจะประชุมกันในวันที่ 11 เม.ย. เพื่อหารือกันถึงเรื่องนี้ สรุปว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในการสกัดโควิดโดยใช้วิธีเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้ได้มากที่สุด ยังไม่ผลีผลามเรื่องโรคประจำถิ่น สิ่งที่ทำคือค่อยๆ เปิดให้ประชาชนและภาคธุรกิจกลับมาใช้ชีวิตปกติเป็นขั้นเป็นตอน ลดจำนวนผู้ติดเชื้อ จัดสรรทรัพยากรสาธารณสุขให้พอรับมือหากการติดเชื้อพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง โควิดจะเป็นโรคประจำถิ่นเมื่อใดไม่สำคัญเท่าประชาชนกลับมาใช้ชีวิตเหมือนก่อนโควิดให้ได้โดยเร็วที่สุด