"เงินเฟ้อ" ส่งสัญญาณขยับ ลุ้นราคาทองแตะ 1,900-2,000 ดอลลาร์/ออนซ์

"เงินเฟ้อ" ส่งสัญญาณขยับ ลุ้นราคาทองแตะ 1,900-2,000 ดอลลาร์/ออนซ์

"วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล" ส่งสัญญาณทองคำมี 3 ปัจจัยหนุน "เงินเฟ้อ-หนี้สาธารณะ-อุปสงค์อินและจีน" ถือเป็นโอกาสดันราคาขยับแตะ 1,900-2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำในปี 2565 มี “3 ปัจจัยหนุน” ให้ราคาทองคำมีโอกาสไปแตะเป้าหมายใหม่ 1,900-2,000 เหรียญต่อออนซ์

ปัจจัยแรก “เงินเฟ้อ” ซึ่งก็บ่งบอกสัญญาณว่าจะเกิดเงินเฟ้อค่อนข้างสูง ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ทำให้ความสนใจในทองคำเพิ่มขึ้น เพราะทองคําเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ และปัจจัยเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งหนุนให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารกลางสหรัญ (เฟด) ก็ออมาให้ข่าวว่าเป็นสัญญาณระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตามต้องดูระยะยาวว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการอื่นๆ เข้ามาสกัดเงินเฟ้อ

“หนี้สาธารณะ” ที่ปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาจากการออกมาตรการต่างๆ กระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังของสหรัฐ และ “อุปสงค์ทองคำของอินเดียและจีน และธนาคารกลางทั่วโลก” 

หากปัจจัยดังกล่าวขั้นต้นมีความชัดเจน โดยแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในทองคำหากเป็นช่วงราคาทอง "ขาขึ้น" สัดส่วนลงทุนอาจถึง 30% หรือ ช่วง "ขาลง" สัดส่วน 5% ของพอร์ตลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนระยะกลาง-ยาว และใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์ช่วยบริหารความเสี่ยง สำหรับนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดทองคำ

อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายต่างๆ โดยแต่เดิมตลาดมองการลดวงเงิน QE ของ Fed เป็นการสะท้อนความเชื่อมั่นใจการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะกลางและระยะยาว ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองทองคำในฐานะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ต้านทานเงินเฟ้อ

“การที่ราคาทองคำปรับขึ้นครั้งนี้เป็นการปรับขึ้นระยะสั้น เพื่อตอบรับกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่มากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ”